วิธีเรียนภาษาให้เก่ง

จะเริ่มต้นเมื่อไร และอย่างไร 1. เริ่มที่ตัวเองก่อนหลายท่านเคยบ่นว่าตนเองแก่เกินไปที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนคอมพิวเตอร์ การเล่นดนตรี หรือการพูดภาษาอังกฤษ โดยมักจะอ้างว่า สมองเชื่องช้าไม่ทันเด็ก มือนิ้วหรือลิ้นแข็ง ฯลฯ แต่ผมว่าทุกท่านไม่มีคำว่าแก่เกินที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรอกครับ เพียงแต่ถ้าเราตั้งใจจริง แน่วแน่ ก็จะเป็นจุดเริ่มที่ดีที่สุด คือใจเราต้องมาก่อนอันดับแรก การที่ใจเราจะมาก่อนได้ ก็จะต้องเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็น และจะต้องมีการนำไปใช้จริงด้วย และสิ่งต่อไปที่สำคัญคือจะต้องมีครูหรือพี่เลี้ยง หรือผู้รู้จริงนั่นเอง ที่เราสามารถจะสอบถามได้ตลอดเวลา คอยชี้แนะอย่างถูกต้อง ให้กำลังใจอยู่เป็นประจำแล้วในกรณีของนักเรียนนักศึกษาจะสร้างแรงจูงใจให้อยากเรียนพูดภาษาอังกฤษอย่างไรดี คงไม่ต้องกังวลกันเรื่องนี้ เพราะถ้านักเรียนนักศึกษาได้รับการสอนและฝึกการพูดภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องทุกวันทุกวัน พวกเขาก็จะจำติดปากไปเอง เมื่อถึงเวลาที่จะต้องใช้จริงๆ ก็ไม่ต้องมาเสียเวลาและสมองมาคิดว่าจะออกเสียงคำต่างๆ ที่ต้องการสื่อสารให้ถูกต้องอย่างไร พวกเขาจะมีความมั่นใจที่จะออกเสียงและทุ่มความสนใจไปที่เนื้อหาที่จะสื่อสาร มากกว่าที่จะต้องมาคอยนึกคำศัพท์หรือนึกว่าจะต้องออกเสียงอย่างไร
2. ปฏิรูปนโยบายการพูดภาษาอังกฤษระดับชาติหลายคนพยายามที่จะส่งบุตรหลานไปเรียนในโรงเรียนที่สอนเป็นภาษาอังกฤษหรือเน้นภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ระดับอนุบาลเป็นต้นไป ตรงนี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ถ้าครูผู้สอนไม่รู้ภาษาอังกฤษอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการออกเสียงหรือการเน้นเสียงหนักเบาที่ถูกต้อง เด็กก็จะจำสิ่งที่ผิดๆ ไปตลอด หรือถ้าได้ครูที่เป็นเจ้าของภาษาโดยตรง แต่ไม่รู้ว่าคนไทยมีธรรมชาติในการเรียนภาษาอังกฤษอย่างไร จุดอ่อนของคนไทยอยู่ที่ตรงไหน การเรียนรู้ก็จะล่าช้า หรือไม่ได้ผลเท่าที่ควรเหมือนกันลักษณะนิสัยของคนไทยอย่างหนึ่งคือ ไม่กล้าที่จะพูดหรือแสดงความคิดเห็น ตรงนี้อาจเป็นเพราะไม่สามารถที่จะพูดภาษาอังกฤษได้นั่นเอง จึงทำให้ขาดความมั่นใจ หรือพูดได้บ้าง แต่ออกเสียงไม่ถูกต้อง จึงทำให้คนต่างชาติไม่เข้าใจ จะทำให้คนๆ นั่นขาดความมั่นใจได้เช่นกันจะทำกันอย่างไรดี คงจะแยกออกเป็น 2 ประการ คือ ประการแรก การปฏิรูปการเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียน โดยให้เพิ่มหลักสูตรการพูดภาษาอังกฤษที่ถูกต้องกับเด็กนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นระดับไหนก็ตาม ถ้าโรงเรียนไหนเริ่มสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ระดับอนุบาล ครูผู้สอนภาษาอังกฤษต้องได้รับใบประกาศว่าผ่านและเหมาะสมที่จะสอนการพูดภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง ถ้าไม่มีครูที่เหมาะสมในการสอนการพูดภาษาอังกฤษ ก็ห้ามให้มีการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนนั้นเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษใดๆ ก็ตาม เพราะทุกหลักสูตรจะต้องออกเสียงให้นักเรียนฟังทั้งนั้น โดยรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเอาจริงจังกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรงบประมาณ การจัดตั้งคณะกรรมการ โดยระดมผู้รู้ภาษาอังกฤษทั่วประเทศไปช่วยกัน คนที่พูดภาษาอังกฤษเก่งของไทยมีเยอะครับ แต่ไม่ได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ จัดฝึกอบรมและฝึกปฏิบัติครูภาษาอังกฤษทั่วไปเทศ อย่างต่อเนื่องและเข้มข้น โดยตั้งเป้าหมายระยะสั้นไว้เลยว่า “IN THE YEAR 2005, ALL THAI TEACHERS CAN SPEAK ENGLISH FLUENTLY” และตั้งเป้าระยะยาวว่า “IN THE YEAR 2025, ALL THAIS CAN COMMUNICATE IN ENGLISH”ประการที่สอง สื่อต่างๆ จะต้องมีการรณรงค์การพูดภาษาอังกฤษให้ถูกต้องด้วย เริ่มตั้งแต่ผู้ประกาศข่าว นักจัดรายการทีวี วิทยุ โดยให้เพิ่มการสอบผู้จัดรายการหรือผู้ประกาศข่าวในเรื่องการออกเสียงภาษาอังกฤษที่นำมาใช้กับภาษาไทยด้วย อย่างเคร่งครัด และคำพูดใดที่ใช้ภาษาอังกฤษแทรกกับภาษาไทยในการออกอากาศจะต้องมีการตรวจสอบว่าออกเสียงถูกต้องหรือไม่ ถ้าออกไม่ถูกต้อง ก็ให้ตัดคำนั้นออกไปจากรายการทีวีหรือวิทยุได้เลย โดยเฉพาะนักการเมืองไทย นิยมใช้ภาษาอังกฤษคำภาษาไทยคำอยู่เป็นประจำ ผมไม่กีดกันการพูดเช่นนี้ แต่ถ้าจะพูดต้องออกเสียงภาษาอังกฤษเหล่านั้นให้ถูกต้องด้วย เพราะมีคนไทย โดยเฉพาะนักเรียนหรือเยาวชนดูหรือฟังอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าออกเสียงไม่ถูกต้อง คนจำนวนมากก็จะจำไปใช้ผิดๆ เพราะได้ยินทุกวัน และทำให้ไม่กล้าที่จะออกเสียงภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง เพราะจะดูตลก หรือคนอื่นจะมองว่าเป็นเรื่องแปลกไป เราต้องถอนรากถอนโคนกันเลยทีเดียว เริ่มออกเสียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้องตั้งแต่วันนี้ ในทุกระดับและทุกคนทั่วประเทศ ในอดีตที่ผ่านมาเราต้องเสียเวลาออกเสียงภาษาอังกฤษคำเดียวกันถึง 2 แบบ คือ ออกเสียงแบบไทยๆ และออกเสียงแบบฝรั่งเจ้าของภาษา ทำให้ลิ้นของเราไม่ชินกับการออกเสียงแบบหลัง และเวลาที่จะต้องใช้กับฝรั่งจริงๆ จึงใช้แบบไทยๆ มากกว่า ฉะนั้นออกให้ถูกต้องตามภาษาอังกฤษอย่างเดียวก็พอ 3. การจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมสิ่งแวดล้อมเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมที่บ้าน เพราะเด็กก่อนที่จะเข้าโรงเรียน จะมีเวลาอยู่ที่บ้านมาก ถ้าจะต้องพูดภาษาอังกฤษใดๆ กับใครก็ตาม ก็ให้ออกเสียงให้ถูกต้อง เพื่อเป็นตัวอย่างให้ลูก ถ้าพ่อแม่หรือญาติไม่สามารถออกเสียงภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง ก็อย่าพูดออกมาให้เด็กได้ยินเป็นอันขาด เพราะเป็นตัวอย่างที่ผิด และเด็กจะจำได้อย่างง่ายดาย ผมไม่ได้ให้ท่านต้องจัดหาสื่อที่เป็นภาษาอังกฤษให้สิ้นเปลืองเงินทอง แต่ถ้ามีได้ก็จะดีมาก เมื่อเด็กเริ่มเข้าโรงเรียนและเรียนภาษาอังกฤษ อย่าลืมสร้างบรรยากาศที่บ้านให้เหมาะสมสำหรับทบทวนหรือฝึกฝนสิ่งที่บุตรหลานได้เรียนรู้มาจากโรงเรียนด้วย เช่น มีผู้คอยชี้แนะการออกเสียงที่ถูกต้อง คือเน้นให้บุตรหลานได้สัมผัสภาษาอังกฤษทั้งหู ตาและปาก ที่บ้านด้วย ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ กับการเรียนเล่นเปียโนของลูกเรา ถ้าเรียนแต่ที่โรงเรียนสอนดนตรีเท่านั้น พอกลับมาบ้านไม่มีเปียโนให้ลูกได้ฝึกซ้อมเลย การเรียนรู้ของลูกเราก็คงจะเป็นไปอย่างช้าๆ ต่างกับลูกของคนที่มีเปียโนที่บ้านให้ฝึกซ้อมหลังเลิกเรียนด้วย การสร้างบรรยากาศให้ลูกหลานได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษที่บ้านก็สำคัญไม่แพ้กันเลย โดยเฉพาะกับสื่อต่างๆ ที่ผมได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เด็กจะเรียนรู้การพูดภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง สิ่งแวดล้อมที่บ้านและที่โรงเรียนต้องเอื้ออำนวยและเกื้อกูลกันทั้งสองแห่ง ต้องเป็นไปในแนวทางเดียวกันด้วย ถ้าขัดกันเมื่อไร เด็กก็จะสับสน และมักจะเชื่อครูที่สอนมากกว่าหลายท่านจะบอกว่า ทำไมลูกๆ เขาถึงออกเสียงภาษาอังกฤษตามโปรแกรมสอนพูดภาษาอังกฤษได้ถูกต้องกว่าเรา ก็เพราะว่า เด็กใช้วิธีเลียนเสียง เมื่อเด็กได้ยินอย่างไร เขาก็จะพูดออกไปอย่างนั้น ไม่เหมือนพ่อแม่ที่ยังจำการออกเสียงคำต่าง ๆ ที่ผิด ๆ มาแต่ต้น จึงทำให้การออกเสียงไม่เป็นไปตามเสียงที่เจ้าของภาษาออกอย่างถูกต้อง การออกเสียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้องมันผิดกับสิ่งที่พ่อแม่เคยออก จึงทำให้ลิ้นไม่คุ้นเคย และกระดากที่จะพูดออกไปแบบใหม่ ภาษาอังกฤษมีเกณฑ์ในการออกเสียงหรือไม่? จากการสังเกตของผมตอนที่เริ่มหัดพูดภาษาอังกฤษตอนแรกๆ จะเห็นว่าเขาพูดค่อนข้างไว และเป็นจังหวะวรรคตอน มีการเน้นเสียงหนักเบา มีข้อยกเว้นในการอ่านคำบางคำ คือไม่อ่านออกเสียงตามที่สะกด ไม่เฉพาะที่ได้ระบุไว้ในตำรา จึงทำให้เราฟังฝรั่งเขาไม่รู้เรื่อง ทั้งๆ ที่ถ้าเขียนเป็นประโยคให้เราอ่านจะเข้าใจได้ดีกว่า ในทำนองกลับกัน ฝรั่งที่เรียนพูดภาษาไทยแรกๆ ก็จะบ่นว่าคนไทยพูดไว แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะเรารู้ว่าช่วงไหนจะออกเสียงหนักเบาเป็นอย่างไร คำไหนไม่ออกตามที่เขียนจริง ไม่มีการสอนหรือบันทึกเป็นตำราด้วยเช่นกัน ถ้าเรารู้กฎการเน้นเสียงหนักเบาของภาษาอังกฤษ ข้อยกเว้นต่างๆ ทั้งที่มีการบันทึกและที่ไม่มีการบันทึก การพูดภาษาอังกฤษของเราก็จะเป็นธรรมชาติ ลองเข้าไปดูกฎการออกเสียงภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน มีด้วยกันถึง 8 บท ซึ่งผมจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ ถ้าจะเริ่มต้นกันในการเรียนรู้การออกเสียงหนักเบาของคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ก็คงจะเริ่มจากเรียนการใช้พจนานุกรมภาษาอังกฤษเป็นอังกฤษ เท่าที่ทราบมามีโรงเรียนไม่กี่โรงที่สอนนักเรียนให้ใช้พจนานุกรมภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะส่วนที่ใช้แทนการออกเสียง และถ้าดูจากพจนานุกรมอย่างเดียวก็อาจไม่ทำให้เข้าใจได้เต็มที่ เราไม่รู้ว่าการออกเสียงของเราถูกต้องตามที่เราเข้าใจหรือไม่ จึงต้องอาศัยพจนานุกรมที่มีเสียงประกอบคำศัพท์ทุกคำด้วย ซึ่งมีขายทั่วไปแล้ว
สรุป ทำไมเด็กไทยจึงพูดภาษาไทยได้ก่อนเข้าโรงเรียน และเด็กอเมริกันพูดภาษาอังกฤษได้ก่อนเข้าโรงเรียนเช่นกัน และฟังภาษาของพ่อแม่ออกก่อนที่จะพูดได้ด้วยซ้ำ เป็นเพราะเหตุใด เพราะทั้งเด็กไทยและเด็กอเมริกันได้ยินผู้ใหญ่ออกเสียงให้ฟัง ได้ยินซ้ำๆ ทุกวัน ซึ่งเป็นตัวอย่างให้เด็กได้เรียนรู้การพูดมาตั้งแต่แรกเกิดเลยที่เดียว ผมสังเกตเห็นตอนที่สอนลูกชายให้ออกเสียงศัพท์บางคำในภาษาอังกฤษ เช่น คำว่า rat ผมจะฝึกให้ลูกอ่านออกเสียงเป็น แร่ท-ถึ (ออกเสียง ถึ ตอนท้ายพองาม) ลูกชายก็จะออกตามได้อย่างถูกต้อง ก็มีอาการเขินๆ บ้างในตอนแรก เพราะเขาเรียนการออกเสียงคำนี้มาจากโรงเรียนแล้ว ลองเดาดูซิครับว่า เขาจะออกเสียงที่โรงเรียนแบบไหน และจากการที่ได้คลุกคลีกับลูกฝรั่งคนอเมริกัน ผมสังเกตเห็นเด็กอายุแค่ 3 ขวบ สามารถออกเสียง th ได้แล้ว ฉะนั้นสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญต่อการเรียนภาษาใดๆ ของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่โรงเรียน และทุกๆ ที่ รวมถึงสื่อต่างๆ ด้วย หยุดการพูดภาษาอังกฤษที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถ้าไม่สามารถออกเสียงให้ถูกต้องได้ก็ไม่ต้องพูดเลย แล้วเด็กไทยจะพูดภาษาอังกฤษบางคำอย่างถูกต้องให้ได้ก่อนเข้าโรงเรียนไม่ได้เชียวหรือ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ เพียงแค่ขอให้เด็กไทยพูดภาษาอังกฤษได้ถูกต้องเมื่อจบการศึกษาภายในปี 2005 นี้ก็พอ